ยินดีต้อนรับ...

14.7.51

เด๋อๆ ด๋าๆ แบบอากู๋ ..


เชื่อแล้ว…ว่าตำรวจมันร้ายยิ่งกว่าโจร
... ขอออกตัวก่อนค่ะ ว่านี้เป็นประสบการณ์จริงอันหนึ่งที่เจอมากับคนใกล้ตัวตัวเองแล้วเราช่วยอะไรเขาไม่ได้มาก.. อาจจะไม่ใช่ตำรวจทุกคนที่เป็นอย่างนี้ แต่ดิฉันมั่นใจเหลือเกินว่ามากกว่า 50% ของตำรวจไทย เป็น..
ขอโทษนะคะ ถ้าคำพูดบางคำจะไปกระทบใจตำรวจดีๆ ที่ยังพอมีเหลืออยู่น้อยมากให้รู้สึกเจ็บบ้าง

ก็เพราะตำรวจมีอำนาจอยู่กับมือ มันจะทำอะไรก็ได้กับชาวบ้านโง่ๆ เซ่อๆ ทั่วไป แค่คราวนี้ถึงคิวอากู๋ของดิฉัน (โจรผู้ร้ายจับไม่เป็นแล้ว เก่งแต่กับพวกทำมาหากินอย่างชาวบ้านธรรมดา จับได้แต่แท๊กซี่ มอเตอร์ไซค์ แม่ค้า ที่ต้องทำมาหาเลี้ยงครอบครัวแล้วยังต้องมาเลี้ยงไอ้พวกนี้อีกฝูง) ขอกรรมจงตามสนองมันอย่างสาสม ไอ้โจรในคราบตำรวจ !!!

สายๆ ของวันที่ซวยที่สุดในชีวิตกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อากู๋ขับรถมอเตอร์ไซค์มาตามปกติบนถนนสายเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาแถวท่าทรายมุ่งหน้าไปทางกรมศุลกากรคลองเตย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปหาใคร ตรงกลางถนนอากู๋เห็นกระเป๋าใบหนึ่งตกขวางอยู่ คงด้วยความโลภและอยากรู้อยากเห็นก็อยากจะเก็บกระเป๋านั้นไว้ แต่หยุดเก็บไม่ได้ มีรถตามมาข้างหลัง อากู๋จึงค่อยๆ เบารถให้ช้าลง ใช้ขาเขี่ยกระเป๋าไปที่ที่พอที่จะก้มเก็บได้ แล้วก็หยิบโยนไว้ที่ตะแกรงรถด้านหน้าแล้วก็ขับต่อ คงคิดว่าเดี๋ยวถึงที่หมายแล้วจะเปิดดูว่าเป็นอะไร

ขับรถต่อไปเรื่อย ระหว่างทางเจอคุณตำรวจที่ตั้งด่านเรียกจับพวกมอเตอร์ไซค์ (เป็นประจำ) อากู๋ก็หยุดให้ตรวจ ไม่มีอะไรผิดปกติก็ขับรถไปต่อ แต่ใครจะรู้ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปที่จะเล่าให้ฟังจะกลายเป็นเรื่องได้ขนาดนี้

รู้ตัวอีกทีว่ามีคนตาม ก็ตอนที่ตำรวจขับมอเตอร์ไซค์มาปาดหน้า อากู๋หยุดรถ มีผู้ชายอีกคนซ้อนท้ายตำรวจตามมาด้วย พอลงมาก็ถามถึงกระเป๋าที่อยู่หน้ารถ ประมาณว่าตำรวจเห็นกระเป๋าที่ตะแกรงตอนหยุดตรวจที่ด่านแล้วจำได้ ระหว่างที่อากู๋ขับรถออกมาจากด่านก็มีผู้ชายมาถามหากระเป๋าที่ทำตกไว้ ตำรวจจึงขับรถตามมาปาดหน้าให้อากู๋หยุดรถ อากู๋หยิบกระเป๋ามาเปิดดูบัตรประจำตัวประชาชนแล้วดูหน้าว่าเป็นคนเดียวกันก็คืนของไป .......คงคิดว่าไม่มีอะไร

ยังไม่จบเรื่องค่ะ ตำรวจแจ้งขอหาอากู๋ขัดขืนพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะขับรถเรียกตั้งนานไม่ยอมหยุด (คิดภาพดูนะคะว่าขับมอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อคแบบเต็มหัว – เสียงเครื่องยนต์ดังขนาดนั้น อยู่บนถนน แล้วมีคนขับรถตามหลังตะโกนเรียก) อากู๋จึงบอกตามความจริงว่าไม่ได้ยินที่เขาเรียกเลยไม่หยุด ตำรวจคงจะเกิดปรี๊ดขึ้นทันที คิดว่าอากู๋เถียง (ดิฉันคาดเดาเอาเอง) ตำรวจถามเจ้าของกระเป๋าว่าจะเอาเรื่องไหม เจ้าของกระเป๋าไม่เอาเรื่อง ได้ของคืนแล้วก็จะไป แต่คุณตำรวจที่ว่ายังไม่ยอมปล่อยอากู๋กับเจ้าของกระเป๋าไป บอกว่าต้องไปลงบันทึกประจำวันก่อนเป็นอะไรที่เล็กๆ น้อยๆ

อากู๋พาซื่อ ไปก็ไป ไม่มีอะไรหร่อก ไปถึงโรงพักตำรวจก็ให้รอ (อากู๋เล่าว่า ตำรวจที่พามาถามร้อยเวรที่รับเรื่องว่ายัดข้อหาได้ไหม อีกฝ่ายตอบว่าก็พอได้-ประมาณยักยอก) แล้วก็จัดการเขียนบันทึกอ่านให้ฟังตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แล้วให้อากู๋เซ็นต์ อากู๋ฟังที่อ่านก็ไม่มีอะไร เซ็นต์ชื่อไปเรียบร้อยโรงเรียนตำรวจ อากู๋เล่าว่ามันให้เซ็นต์ 2 ครั้ง เซ็นต์ว่ารับสารภาพ กับไม่รับสารภาพ ไม่เข้าใจแต่ก็เซ็นต์ให้มันไป (คนจีนจากแผ่นดินใหญ่ที่ปัจจุบันยังใช้ต่างด้าวอยู่ เรื่องอ่านหนังสือไม่ต้องห่วง งูงูปลาปลา คุณว่าจะรอดมั้ย)

หลังจากวางปากกา ตำรวจก็เอากุญแจมือใส่อากู๋พร้อมยัดเข้าตารางทันที ............ งงไหมคะคุณๆๆ
ใช่ อากู๋เข้ากรงขังแบบงง งง คงคิดว่ากรูผิดอะไรวะเนี่ย นึกได้โทรมือถือไปหาลูกชาย-ขายของอยู่ที่จตุจักร รวมถึงโทรหาหม่าม้าฉัน และคงโทรหาพี่น้องคนอื่นอีกที่นึกได้

ทุกคนตกใจรีบไปที่โรงพัก ตอนนี้ก็มีคนหลายฝ่ายเข้ามาคุยกับญาติๆ มาเรียกเงินเป็นหมื่น...(ขอสองหมื่น อ้างว่าต้องทำเอกสารอะไรจิปาถะ) เพิ่งทราบทีหลังว่าเรียกคนพวกนี้ว่าหน้าม้า อาอี๊น้องสาวอากู๋พอมีโฉนดบ้านอยู่ จึงทำเรื่องประกันตัวอากู๋ออกมาวั้นนั้น แล้วตำรวจก็ยึดรถมอเตอร์ไซค์ไปไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป แต่ในวันนั้นพวกหน้าม้าโทรมาขู่ลูกชายอากู๋จะเอาเงินสองหมื่นให้ได้ ไม่งั้นจะมีเรื่อง แต่พวกมันก็ไม่ได้ถึงสองหมื่น เพราะเรามีแค่ 1,500 บาท แต่พวกมันก็เอา

หลังจากนั้นตำรวจก็ติดต่อมาที่อาอี๊ตลอดเวลา บอกว่าเพื่อทำให้เรื่องมันจบๆ ขอห้าหมื่น ไม่งั้นจะยัดข้อหาร้ายแรง อาอี๊ขอต่อสักสองหมื่น พวกมันก็ไม่เอา บอกว่าเรื่องมันไปถึงอัยการแล้ว ต้องจ่ายให้อัยการด้วยเพื่อให้เรื่องจบ ยังไงก็ต้องห้าหมื่น พวกเราปรึกษากัน คิดว่าคดียักยอกทรัพย์ไม่น่าจะร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีเจ้าทุกข์ แล้วเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ต้องเสียเวลาไปขึ้นโรงขึ้นศาล ความจริงพวกเราก็เป็นพวกคนจีนที่มีนิสัยไม่ชอบมีเรื่องขึ้นโรงเรื่องศาลประมาณว่า กินขี้ยังดีกว่า (จนทุกวันนี้ยังไม่มีใครเห็นเลยว่าอากู๋เซ็นต์อะไรให้มันไปบ้าง)

แต่เราก็ไม่มีหร่อกเงินห้าหมื่น มีก็ไม่อยากจะเสีย พวกเราจึงบอกตำรวจว่าไม่มีห้าหมื่นให้ ถ้าไม่เอาสองหมื่นก็คงต้องยอมให้ทำเรื่องฟ้องไป หลังจากนั้นตำรวจก็เงียบๆ ไป เป็นเดือนๆ สองเดือน จนพวกเราคิดว่าทำไมไม่ทำอะไรซักที อาอี๊เป็นห่วงโฉนดที่เอาไปประกันกับมอเตอร์ไซค์ที่ตำรวจยึดไว้ จึงโทรไปถามไถ่บ้าง ตำรวจก็บอกปัดไปเรื่อยอ้างว่าเรื่องไปถึงอัยการแล้วต้องรอต้องรอตลอดเวลา จนสามเดือนผ่านไป ตำรวจโทรมาอีกบอกว่าให้ไปเจอที่โรงพัก เพื่อไปขึ้นศาลอะไรน่ะ พวกเราก็ไม่รู้เรื่อง หม่าม้า กะอาอี๊ก็พาอากู๋ไปโรงพัก ไปรอตั้งนาน ตำรวจเพิ่งจะทำเรื่องยื่นอัยการ (แล้วตอนแรกบอกว่าเรื่องไปถึงอัยการแล้ว เอี้ยจริงๆ สาระเรววว)

มันยัดข้อหา ยักยอกทรัพย์แผ่นดิน โอ้พระเจ้าช่วย อากู๋ไปโขมยอะไรเหรอคะที่เป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน
ณ วันนี้ อากู๋เป็นผู้ร้ายยักยอกทรัพย์แผ่นดินซะแล้ว หม่าม้ากะลูกชายอากู๋รวมถึงอาอี๊ต้องวิ่งวุ่นหาเงินเป็นแสนมาประกันตัวอากู๋ออกมาอีกครั้ง (มันคงคิดสะใจว่า จ่ายให้กรูแค่ห้าหมื่นไม่เอา เลยต้องมาหาเงินเป็นแสนไปประกันตัว)

ทุกวันนี้อากู๋เซื่องซึมไปเยอะ โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าทำให้พี่น้องเดือดร้อน… หม่าม้าโกรธและต่อว่าอากู๋มากมายที่เซ่อซ่า ทั้งที่ความจริงแต่ละคนก็เด๋อด๋าไม่ต่างอะไรกันเลยทั้งพี่ทั้งน้อง แต่ใจจริงหม่าม้าคงจะกังวลอะไรไปต่าง ๆ นานามากกว่า แล้วโทษอากู๋

ตอนนี้ดิฉันยังไม่รู้จะช่วยเหลืออากู๋ยังไงดี ได้แต่เจ็บแค้นโกรธเกลียดตำรวจชั่วๆ และขอสาปแช่งให้พวกมันไม่ตายดี อยากระบาย อยากแฉ อยากทำอะไรสารพัด แต่ก็ได้แต่อึดอัดไว้ข้างใน ทำอะไรก็กลัวไปหมด

ขอเล่าประวัติอากู๋ประกอบเล็กๆน้อยๆ
อากู๋เป็นคนจีนที่อาศัยผืนแผ่นดินไทยเติบโตมาจนอายุ 60 ปี แก่แล้วว่างั้นเหอะ ใครก็รู้คนจีนนั่งเรือจากแผ่นดินใหญ่มาเมืองไทยมีชีวิตที่ลำบากขนาดไหน อากู๋ก็เช่นกัน พอจะตั้งตัวได้ก็ทำอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว
อยู่หลังโรงหนังสยาม หาเลี้ยงตัวเองกับลูก 3 คนมาจนปัจจุบัน ก็หยุดไปเป็นปีแล้วเพราะสังขารไม่อำนวย

อากู๋มีมอเตอร์ไซค์คู่ชีพเก่าๆ 1 คัน ถ้านึกถึงอากู๋กับมอเตอร์ไซค์ ต้องมีถุงก๊อบแก๊บห้อยไว้ตามแฮนด์พะรุงพะรังทุกครั้ง แกขายก๋วยเตี๋ยวไม่ไหวแล้ว โรคประจำตัวก็เยอะแยะ อยู่บ้านเฉยๆ ก็เหงา อากู๋จึงชอบมาหาหม่าม้าฉันมาคุยมากินข้าวที่บ้านและบางทีก็หอบข้าวที่บ้านฉันกลับไปกินต่ออีกมื้อสองมื้อ

ที่สยาม ถามทุกคนที่รู้จักอากู๋ก็ได้ ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว อากู๋เคยเก็บมือถือเอย กระเป๋าเอย ก็หลายครั้งของลูกค้าไว้ได้
ก็ตามจนคืนเจ้าของได้ครบหมด เสียใจที่จำบุคคลเหล่านั้นไม่ได้เลยว่าใครเป็นใครบ้าง คืนแล้ว ขอบคุณแล้วก็จบกันไป ถ้าคุณเห็นหน้าอากู๋ คุณจะรู้เลยเป็นไปไม่ได้เลยที่คนแบบอากู๋จะเป็นพิษเป็นภัยกับใคร

ฉันจึงไม่เชื่อเลยที่ข้อหาที่ตำรวจพยายามยัดเยียดให้อากู๋จะเป็นจริง ................

5.5.51

ป่าป๊า...บุคคลธรรมดาหมายเลขหนึ่ง



อ้างอิง: เหล่าบุคคลธรรมดาของฉัน

ป่าป๊าเป็นคนจีนนั่งเรือสำเภามาจากแผ่นดินใหญ่มาลงที่คลองเตยตั้งแต่อายุ 17 มาพร้อมกับอากง อาม่าและน้องชาย 1 คน แล้วก็ปักหลักแถวคลองเตยมาจนมีหม่าม้า มีแม่ มีพวกฉันตามมาอีก 5 คน ปัจจุบันบ้านแม่ก็ยังอยู่คลองเตยไม่คิดจะย้ายไปไหน เคยย้ายอยู่ครั้งตอนฉัน 7 ขวบ ก็ย้ายจากแถวตลาดคลองเตยมาอยู่อีกฝั่งตรงตึกไทยคลองเตยเพราะบ้านที่เช่าเขาไม่ให้เซ้งต่อ ป่าป๊าจึงมาซื้อตึกแถวใกล้ๆ แค่ข้ามถนนมาแค่นั้น ไม่ได้ไปไหนไกลเล้ย มีก็แต่ลูกๆ ที่แยกย้ายกันไปสร้างครอบครัวตัวเอง ปัจจุบันนี้ตัวป่าป๊าเองยังไป-กลับเมืองจีนเป็นว่าเล่นทุก 3-4 เดือน ที่บ้านจึงเหลือผู้หญิงมีอายุอยู่แค่ 3 คน พวกพี่ชาย น้องชายฉันก็ไป-กลับทุกวัน เพราะทำงานที่กงสีของป่าป๊า รับเงินเดือนจากป่าป๊าอยู่ น้องสาวก็ปลีกตัวไปสร้างชีวิตไกลที่ต่างแดน ส่วนฉันก็แต่งออกมามีไปแวะไปเยี่ยมบ้างอาทิตย์ละครั้งสองครั้งเพราะคิดถึงแม่กะหม่าม้า

อาม่ากะอากงเสียไปตั้งนานแล้ว ฉันเคยเห็นแต่อากง แต่ไม่เคยเห็นอาม่า แม่เล่าว่าอาม่าเสียตั้งแต่อายุน้อยแค่ 37 เพราะทำงานหนักและช้ำใจที่อากงเจ้าชู้มี่เมียหลายคน ป่าป๊ามีพี่น้องที่ไม่ได้เกิดกับอาม่าคนเดียวกันอีกหลายคน ฉันเคยเห็นบ้างก็ตอนรวมญาตเทศกาลเชงเม้ง ไม่ค่อยสนิทสนมมากนัก และป่าป๊ายังมีน้องชายอีกคนที่อากงไม่ได้อุ้มมาด้วยตอนขึ้นเรือมา ปัจจุบันอาเจ็กคนนี้ (น้องชายป่าป๊า) ลงหลักปักฐานอยู่ที่ฮ่องกง นอกจากนั้น ป่าป๊าก็ยังมีน้องสาวอีกคนที่อาม่ามาท้องตอนอยู่เมืองไทยและป่าป๊าก็ช่วยกันเลี้ยงจนโตหลังจากอาม่าเสียไปแล้ว

ตอนที่มาที่เมืองไทยตอนแรกๆ ทุกคน (ป่าป๊า อาม่า อากง) ต้องไปเป็นจับกังรับจ้างแบกน้ำที่ท่าเรือ ลำบากมาก เพื่อให้ได้ข้าวกินไปวันๆ อาหารแต่ละมื้อก็หาเนื้อกินยากมาก ประเภทหมูเห็ดเป็ดไก่อย่าไปหวัง ปลาหนึ่งตัวต้องใช้มองห้ามตักเข้าปาก นี่เป็นเรื่องจริง ป่าป๊าลำบากแต่ก็ขยันจนสามารถตั้งตัวได้ มีบ้านมีรถ ฉันเห็นป่าป๊าทำมาค้าขายหลายอย่าง ตั้งแต่ชีวิตขึ้นขีดสูงสุด จนกลับมาตกต่ำไม่มีเงินติดหนี้สินก็มี

แต่ลำบากยังไง ป่าป๊าเลี้ยงพวกเราสบายทุกคนมีกินมีใช้แบบไม่เคยขาดมือ ป่าป๊าส่งลูกทุกคนเรียนเท่าที่ปัญญาใครจะเรียนได้ มีแค่น้องสาวฉันเพียงคนเดียวที่เรียนสูงที่สุด ได้ปริญญาโทไม่รู้กี่ใบเอาไปแปะอะไรก็ไม่ได้ อิอิ

ป่าป๊ารักลูกชายมากตามประสาคนจีนทั่วไป ส่วนลูกสาวก็หวงเพราะความที่ป่าป๊าเจ้าชู้ เลยกลัวลูกสาวจะเสียทีคนเจ้าชู้ เมื่อเด็กๆ อย่าหวังเลยว่าฉันจะได้ไปเที่ยวค้างคืนที่ไหน ไปทัศนศึกษากับโรงเรียนยังไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขอ ฉันเคยทะเลาะอย่างรุนแรงกับป่าป๊าอยู่หนหนึ่งเมื่ออายุ 18 แรงมากเพราะฉันไม่คุยกับป่าป๊าเลยถึงสองปี ช่วงสองปีที่ไม่คุยกับป่าป๊า ฉันประชดด้วยการตามเพื่อนไปเที่ยวๆๆๆๆ ต่างจังหวัดที่เคยอยากไปแต่ไม่กล้าขอ เกาะเสม็ด พัทยา ระยอง หัวหิน ประจวบฯ กับกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียน ซึ่งโชคดีมากเพื่อนฝูงที่ฉันคบไม่ได้นำพาไปในทางเสียคนแต่อย่างใด เพราะหากเป็นอย่างนั้น ฉันก็พร้อมจะเสียคนได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน

ฉันนึกน้อยใจที่เป็นลูกผู้หญิงป่าป๊าไม่ปลื้ม ความที่ขี้แยทำให้ป่าป๊าต่อว่าว่าฉันเป็นคนอ่อนแอ ออเซาะ และไม่ฉลาด หนที่ทะเลาะรุนแรงจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร รู้แต่ว่าป่าป๊าลงไม้ลงมือ ทุกครั้งที่ดื้อป่าป๊าตีไม่เลี้ยง แต่ครั้งนี้ฉันเถียงอะไรไม่รู้ ป่าป๊าตบปากหนึ่งครั้งและบอกว่า มึงไม่ต้องมาเป็นลูกกู แค่เนี๊ยะ ฉันร้องไห้ร้องๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และไม่พูดกะป่าป๊าอีกต่อไป

แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง ฉันก็เข้าไปพูดกับป่าป๊า เข้าไปกอดและเรียก ทำแค่นั้น น้ำตาก็ไหลๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ป่าป๊าทำไม่สนใจ แต่ฉันก็ทำซ้ำๆ ทุกวันจนเราสองคนกลับมาเป็นป่าป๊ากับหมวยใหญ่คนเดิม (ป่าป๊าตั้งชื่อฉันว่าหมวยใหญ่)

ปัจจุบัน ป่าป๊าอายุประมาณ 72 ป่าป๊าดูแก่ตัวลงไปมาก ป่าป๊ายังทำงานอยู่ ตั้งแต่ฉันคุยกะป่าป๊าครั้งนั้นหลังจากฉันจบออกมาและไม่ได้เรียนต่อ ฉันหางานทำในบริษัทเอกชน ไม่เคยขอตังค์ป่าป๊าใช้อีกเลยตั้งแต่ฉันอายุยังไม่เต็มยี่สิบดี ชีวิตการทำงานฉันผ่านเรื่องราวอะไรมากมาย ทำให้ฉันรักป่าป๊ามาก ป่าป๊าไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐศรีอะไร เจ้าชู้ มีเมียหลายคนเหมือนอากง นั่นทำให้ฉันต้องมีแม่สองคนคือหม่าม้ากะแม่ และจะยังอีกไม่รู้กี่เมียนับไม่ถ้วน ไม่ว่าสิ่งที่ป่าป๊าทำจะผิดหรือถูก หรือใครจะเรียกว่างี่เง่า แต่ฉันก็จะรักป่าป๊าของฉัน รักแบบไม่มีเงื่อนไข ฉันอยากให้ป่าป๊าได้พักผ่อนหัวสมองเสียที ตั้งแต่ 17 จน 70 กว่าแล้ว นอกจากปากที่ว่ารักฉันอยากมีเงินมากพอให้ป่าป๊านั่งชิวๆ อยู่บ้าน ปลูกต้นไม้ เลี้ยงไก่ แบบที่ป่าป๊าชอบ ถ้าอยากทำอะไรก็ทำเพราะชอบทำ ไม่ใช้ทำเพราะต้องทำเพราะเป็นห่วงลูกและเมีย

อยากบอกว่าฉันรักป่าป๊ามาก ป่าป๊าเป็นบุคคลธรรมดาที่สำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตฉัน

เหล่าบุคคลธรรมดา..ของคนธรรมดา


จั่วหัวไว้ ตั้งใจเขียนบันทึกเรื่องราวของบุคคลธรรมดาๆ จำนวนหนึ่ง บุคคลเหล่านี้ ไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญของโลกแต่อย่างใดเป็นเพียงแค่ใครหลายคน แต่มีอิทธิพลหล่อหลอมอันสำคัญสำหรับคนธรรมดาอย่างฉัน ที่ทำให้เรา(พวกคุณและตัวฉันเอง)รู้ว่า...ชีวิตเล็กๆ ของเรามีคุณค่าต่อกันและกัน

ป่าป๊า- นักสู้ผู้ยิ่งยง
แม่- ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข
หม่าม้า- ตัวอย่างของความอดทน
พี่โจ- กำลังใจที่ยิ่งใหญ่
พี่ชาย-น้องชาย-น้องสาว รวมถึงหลานๆ ทั้งเจ็ด (ไม่ใช่คนแคระกับสโนว์ไวท์เนอะ) และที่อาจจะมีตามมาเพิ่มขึ้นอีก
พี่มด/พี่หมอ ตัวอย่างที่ดี(มีค่ามากกว่าคำสอน) ผู้ให้โอกาสและแรงบันดาลใจที่มีคุณค่า
และยังจะเพื่อนร่วมโลกอีกหลายคน อันจะกล่าวถึงเป็นรายบุคคลต่อๆ ไป.....

สุดท้ายอยากบอกว่า รักทุกคนมากๆ

โปรดตามไปดู บุคคลธรรมดาๆบนโลกคนแรกของฉัน