ยินดีต้อนรับ...

14.7.51

เด๋อๆ ด๋าๆ แบบอากู๋ ..


เชื่อแล้ว…ว่าตำรวจมันร้ายยิ่งกว่าโจร
... ขอออกตัวก่อนค่ะ ว่านี้เป็นประสบการณ์จริงอันหนึ่งที่เจอมากับคนใกล้ตัวตัวเองแล้วเราช่วยอะไรเขาไม่ได้มาก.. อาจจะไม่ใช่ตำรวจทุกคนที่เป็นอย่างนี้ แต่ดิฉันมั่นใจเหลือเกินว่ามากกว่า 50% ของตำรวจไทย เป็น..
ขอโทษนะคะ ถ้าคำพูดบางคำจะไปกระทบใจตำรวจดีๆ ที่ยังพอมีเหลืออยู่น้อยมากให้รู้สึกเจ็บบ้าง

ก็เพราะตำรวจมีอำนาจอยู่กับมือ มันจะทำอะไรก็ได้กับชาวบ้านโง่ๆ เซ่อๆ ทั่วไป แค่คราวนี้ถึงคิวอากู๋ของดิฉัน (โจรผู้ร้ายจับไม่เป็นแล้ว เก่งแต่กับพวกทำมาหากินอย่างชาวบ้านธรรมดา จับได้แต่แท๊กซี่ มอเตอร์ไซค์ แม่ค้า ที่ต้องทำมาหาเลี้ยงครอบครัวแล้วยังต้องมาเลี้ยงไอ้พวกนี้อีกฝูง) ขอกรรมจงตามสนองมันอย่างสาสม ไอ้โจรในคราบตำรวจ !!!

สายๆ ของวันที่ซวยที่สุดในชีวิตกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อากู๋ขับรถมอเตอร์ไซค์มาตามปกติบนถนนสายเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาแถวท่าทรายมุ่งหน้าไปทางกรมศุลกากรคลองเตย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปหาใคร ตรงกลางถนนอากู๋เห็นกระเป๋าใบหนึ่งตกขวางอยู่ คงด้วยความโลภและอยากรู้อยากเห็นก็อยากจะเก็บกระเป๋านั้นไว้ แต่หยุดเก็บไม่ได้ มีรถตามมาข้างหลัง อากู๋จึงค่อยๆ เบารถให้ช้าลง ใช้ขาเขี่ยกระเป๋าไปที่ที่พอที่จะก้มเก็บได้ แล้วก็หยิบโยนไว้ที่ตะแกรงรถด้านหน้าแล้วก็ขับต่อ คงคิดว่าเดี๋ยวถึงที่หมายแล้วจะเปิดดูว่าเป็นอะไร

ขับรถต่อไปเรื่อย ระหว่างทางเจอคุณตำรวจที่ตั้งด่านเรียกจับพวกมอเตอร์ไซค์ (เป็นประจำ) อากู๋ก็หยุดให้ตรวจ ไม่มีอะไรผิดปกติก็ขับรถไปต่อ แต่ใครจะรู้ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปที่จะเล่าให้ฟังจะกลายเป็นเรื่องได้ขนาดนี้

รู้ตัวอีกทีว่ามีคนตาม ก็ตอนที่ตำรวจขับมอเตอร์ไซค์มาปาดหน้า อากู๋หยุดรถ มีผู้ชายอีกคนซ้อนท้ายตำรวจตามมาด้วย พอลงมาก็ถามถึงกระเป๋าที่อยู่หน้ารถ ประมาณว่าตำรวจเห็นกระเป๋าที่ตะแกรงตอนหยุดตรวจที่ด่านแล้วจำได้ ระหว่างที่อากู๋ขับรถออกมาจากด่านก็มีผู้ชายมาถามหากระเป๋าที่ทำตกไว้ ตำรวจจึงขับรถตามมาปาดหน้าให้อากู๋หยุดรถ อากู๋หยิบกระเป๋ามาเปิดดูบัตรประจำตัวประชาชนแล้วดูหน้าว่าเป็นคนเดียวกันก็คืนของไป .......คงคิดว่าไม่มีอะไร

ยังไม่จบเรื่องค่ะ ตำรวจแจ้งขอหาอากู๋ขัดขืนพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะขับรถเรียกตั้งนานไม่ยอมหยุด (คิดภาพดูนะคะว่าขับมอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อคแบบเต็มหัว – เสียงเครื่องยนต์ดังขนาดนั้น อยู่บนถนน แล้วมีคนขับรถตามหลังตะโกนเรียก) อากู๋จึงบอกตามความจริงว่าไม่ได้ยินที่เขาเรียกเลยไม่หยุด ตำรวจคงจะเกิดปรี๊ดขึ้นทันที คิดว่าอากู๋เถียง (ดิฉันคาดเดาเอาเอง) ตำรวจถามเจ้าของกระเป๋าว่าจะเอาเรื่องไหม เจ้าของกระเป๋าไม่เอาเรื่อง ได้ของคืนแล้วก็จะไป แต่คุณตำรวจที่ว่ายังไม่ยอมปล่อยอากู๋กับเจ้าของกระเป๋าไป บอกว่าต้องไปลงบันทึกประจำวันก่อนเป็นอะไรที่เล็กๆ น้อยๆ

อากู๋พาซื่อ ไปก็ไป ไม่มีอะไรหร่อก ไปถึงโรงพักตำรวจก็ให้รอ (อากู๋เล่าว่า ตำรวจที่พามาถามร้อยเวรที่รับเรื่องว่ายัดข้อหาได้ไหม อีกฝ่ายตอบว่าก็พอได้-ประมาณยักยอก) แล้วก็จัดการเขียนบันทึกอ่านให้ฟังตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แล้วให้อากู๋เซ็นต์ อากู๋ฟังที่อ่านก็ไม่มีอะไร เซ็นต์ชื่อไปเรียบร้อยโรงเรียนตำรวจ อากู๋เล่าว่ามันให้เซ็นต์ 2 ครั้ง เซ็นต์ว่ารับสารภาพ กับไม่รับสารภาพ ไม่เข้าใจแต่ก็เซ็นต์ให้มันไป (คนจีนจากแผ่นดินใหญ่ที่ปัจจุบันยังใช้ต่างด้าวอยู่ เรื่องอ่านหนังสือไม่ต้องห่วง งูงูปลาปลา คุณว่าจะรอดมั้ย)

หลังจากวางปากกา ตำรวจก็เอากุญแจมือใส่อากู๋พร้อมยัดเข้าตารางทันที ............ งงไหมคะคุณๆๆ
ใช่ อากู๋เข้ากรงขังแบบงง งง คงคิดว่ากรูผิดอะไรวะเนี่ย นึกได้โทรมือถือไปหาลูกชาย-ขายของอยู่ที่จตุจักร รวมถึงโทรหาหม่าม้าฉัน และคงโทรหาพี่น้องคนอื่นอีกที่นึกได้

ทุกคนตกใจรีบไปที่โรงพัก ตอนนี้ก็มีคนหลายฝ่ายเข้ามาคุยกับญาติๆ มาเรียกเงินเป็นหมื่น...(ขอสองหมื่น อ้างว่าต้องทำเอกสารอะไรจิปาถะ) เพิ่งทราบทีหลังว่าเรียกคนพวกนี้ว่าหน้าม้า อาอี๊น้องสาวอากู๋พอมีโฉนดบ้านอยู่ จึงทำเรื่องประกันตัวอากู๋ออกมาวั้นนั้น แล้วตำรวจก็ยึดรถมอเตอร์ไซค์ไปไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป แต่ในวันนั้นพวกหน้าม้าโทรมาขู่ลูกชายอากู๋จะเอาเงินสองหมื่นให้ได้ ไม่งั้นจะมีเรื่อง แต่พวกมันก็ไม่ได้ถึงสองหมื่น เพราะเรามีแค่ 1,500 บาท แต่พวกมันก็เอา

หลังจากนั้นตำรวจก็ติดต่อมาที่อาอี๊ตลอดเวลา บอกว่าเพื่อทำให้เรื่องมันจบๆ ขอห้าหมื่น ไม่งั้นจะยัดข้อหาร้ายแรง อาอี๊ขอต่อสักสองหมื่น พวกมันก็ไม่เอา บอกว่าเรื่องมันไปถึงอัยการแล้ว ต้องจ่ายให้อัยการด้วยเพื่อให้เรื่องจบ ยังไงก็ต้องห้าหมื่น พวกเราปรึกษากัน คิดว่าคดียักยอกทรัพย์ไม่น่าจะร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีเจ้าทุกข์ แล้วเราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ต้องเสียเวลาไปขึ้นโรงขึ้นศาล ความจริงพวกเราก็เป็นพวกคนจีนที่มีนิสัยไม่ชอบมีเรื่องขึ้นโรงเรื่องศาลประมาณว่า กินขี้ยังดีกว่า (จนทุกวันนี้ยังไม่มีใครเห็นเลยว่าอากู๋เซ็นต์อะไรให้มันไปบ้าง)

แต่เราก็ไม่มีหร่อกเงินห้าหมื่น มีก็ไม่อยากจะเสีย พวกเราจึงบอกตำรวจว่าไม่มีห้าหมื่นให้ ถ้าไม่เอาสองหมื่นก็คงต้องยอมให้ทำเรื่องฟ้องไป หลังจากนั้นตำรวจก็เงียบๆ ไป เป็นเดือนๆ สองเดือน จนพวกเราคิดว่าทำไมไม่ทำอะไรซักที อาอี๊เป็นห่วงโฉนดที่เอาไปประกันกับมอเตอร์ไซค์ที่ตำรวจยึดไว้ จึงโทรไปถามไถ่บ้าง ตำรวจก็บอกปัดไปเรื่อยอ้างว่าเรื่องไปถึงอัยการแล้วต้องรอต้องรอตลอดเวลา จนสามเดือนผ่านไป ตำรวจโทรมาอีกบอกว่าให้ไปเจอที่โรงพัก เพื่อไปขึ้นศาลอะไรน่ะ พวกเราก็ไม่รู้เรื่อง หม่าม้า กะอาอี๊ก็พาอากู๋ไปโรงพัก ไปรอตั้งนาน ตำรวจเพิ่งจะทำเรื่องยื่นอัยการ (แล้วตอนแรกบอกว่าเรื่องไปถึงอัยการแล้ว เอี้ยจริงๆ สาระเรววว)

มันยัดข้อหา ยักยอกทรัพย์แผ่นดิน โอ้พระเจ้าช่วย อากู๋ไปโขมยอะไรเหรอคะที่เป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน
ณ วันนี้ อากู๋เป็นผู้ร้ายยักยอกทรัพย์แผ่นดินซะแล้ว หม่าม้ากะลูกชายอากู๋รวมถึงอาอี๊ต้องวิ่งวุ่นหาเงินเป็นแสนมาประกันตัวอากู๋ออกมาอีกครั้ง (มันคงคิดสะใจว่า จ่ายให้กรูแค่ห้าหมื่นไม่เอา เลยต้องมาหาเงินเป็นแสนไปประกันตัว)

ทุกวันนี้อากู๋เซื่องซึมไปเยอะ โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าทำให้พี่น้องเดือดร้อน… หม่าม้าโกรธและต่อว่าอากู๋มากมายที่เซ่อซ่า ทั้งที่ความจริงแต่ละคนก็เด๋อด๋าไม่ต่างอะไรกันเลยทั้งพี่ทั้งน้อง แต่ใจจริงหม่าม้าคงจะกังวลอะไรไปต่าง ๆ นานามากกว่า แล้วโทษอากู๋

ตอนนี้ดิฉันยังไม่รู้จะช่วยเหลืออากู๋ยังไงดี ได้แต่เจ็บแค้นโกรธเกลียดตำรวจชั่วๆ และขอสาปแช่งให้พวกมันไม่ตายดี อยากระบาย อยากแฉ อยากทำอะไรสารพัด แต่ก็ได้แต่อึดอัดไว้ข้างใน ทำอะไรก็กลัวไปหมด

ขอเล่าประวัติอากู๋ประกอบเล็กๆน้อยๆ
อากู๋เป็นคนจีนที่อาศัยผืนแผ่นดินไทยเติบโตมาจนอายุ 60 ปี แก่แล้วว่างั้นเหอะ ใครก็รู้คนจีนนั่งเรือจากแผ่นดินใหญ่มาเมืองไทยมีชีวิตที่ลำบากขนาดไหน อากู๋ก็เช่นกัน พอจะตั้งตัวได้ก็ทำอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว
อยู่หลังโรงหนังสยาม หาเลี้ยงตัวเองกับลูก 3 คนมาจนปัจจุบัน ก็หยุดไปเป็นปีแล้วเพราะสังขารไม่อำนวย

อากู๋มีมอเตอร์ไซค์คู่ชีพเก่าๆ 1 คัน ถ้านึกถึงอากู๋กับมอเตอร์ไซค์ ต้องมีถุงก๊อบแก๊บห้อยไว้ตามแฮนด์พะรุงพะรังทุกครั้ง แกขายก๋วยเตี๋ยวไม่ไหวแล้ว โรคประจำตัวก็เยอะแยะ อยู่บ้านเฉยๆ ก็เหงา อากู๋จึงชอบมาหาหม่าม้าฉันมาคุยมากินข้าวที่บ้านและบางทีก็หอบข้าวที่บ้านฉันกลับไปกินต่ออีกมื้อสองมื้อ

ที่สยาม ถามทุกคนที่รู้จักอากู๋ก็ได้ ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว อากู๋เคยเก็บมือถือเอย กระเป๋าเอย ก็หลายครั้งของลูกค้าไว้ได้
ก็ตามจนคืนเจ้าของได้ครบหมด เสียใจที่จำบุคคลเหล่านั้นไม่ได้เลยว่าใครเป็นใครบ้าง คืนแล้ว ขอบคุณแล้วก็จบกันไป ถ้าคุณเห็นหน้าอากู๋ คุณจะรู้เลยเป็นไปไม่ได้เลยที่คนแบบอากู๋จะเป็นพิษเป็นภัยกับใคร

ฉันจึงไม่เชื่อเลยที่ข้อหาที่ตำรวจพยายามยัดเยียดให้อากู๋จะเป็นจริง ................